ฝ้าถือเป็นปัญหาผิวหน้าที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในคนเอเชีย ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดจุดด่างดำหรือรอยคล้ำบนใบหน้า โดยมักพบในบริเวณแก้ม หน้าผาก จมูกและคาง ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อความมั่นใจแล้ว ยังเป็นปัญหาที่รักษาให้หายขาดได้ยาก วันนี้ Dr. Bank Clinic จะมาแนะนำวิธีรักษาฝ้าให้หายขาด พร้อมแนวทางการดูแลผิวที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการเกิดฝ้าซ้ำกันในบทความนี้เลย
ฝ้า เกิดจากอะไร
ฝ้าเกิดจากหลายสาเหตุที่ทำให้ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ซึ่งส่งผลให้เกิดจุดสีคล้ำบนผิวหน้า มาดูกันว่าสาเหตุหลักของการเกิดฝ้ามีอะไรบ้าง
- รังสี UV จากแสงแดด ตัวการสำคัญที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินมากเกินปกติ ส่งผลให้เกิดฝ้าและทำให้ฝ้าที่มีอยู่เดิมมีสีเข้มขึ้น
- ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงตั้งครรภ์หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ซึ่งส่งผลต่อการสร้างเม็ดสีผิว
- พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นฝ้ามีโอกาสเกิดปัญหานี้ได้มากกว่าคนทั่วไป
- การใช้ยาบางประเภท ยาบางชนิดอาจกระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิวมากเกินไป จนทำให้เกิดฝ้าได้
- เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารบางชนิด เช่น ไฮโดรควิโนน อาจทำให้ผิวแพ้และเกิดฝ้าได้หากใช้ไม่ถูกวิธี
- ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการทำงานของระบบฮอร์โมนและการสร้างเม็ดสีผิว
รักษาฝ้าวิธีไหนดีที่สุด
การรักษาฝ้าให้ได้ผลดีนั้นจำเป็นต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความรุนแรงของฝ้า โดยมีวิธีการรักษาที่นิยมดังนี้
1. เลเซอร์รักษาฝ้า
เลเซอร์รักษาฝ้าเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากเห็นผลค่อนข้างชัดเจนและมีประสิทธิภาพสูง โดยเลเซอร์จะปล่อยพลังงานเข้าสู่ชั้นผิวเพื่อกำจัดเม็ดสีที่ผิดปกติ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น อย่างไรก็ตาม หลังทำหัตถการนี้ ผิวอาจไวต่อแสงมากขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและดูแลผิวเป็นพิเศษในช่วง 7 – 14 วันหลังทำเลเซอร์ และแนะนำให้ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกไปจากบ้าน
ที่ Dr. Bank Clinic เรามีเลเซอร์รักษาฝ้า Discovery Pico Laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาฝ้า กระตุ้นให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจน ด้วยการปล่อยพลังงานที่มีความแม่นยำสูง ช่วยลดฝ้า และช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอกันอย่างเห็นได้ชัด
2. ทาครีมกันแดดเป็นประจำ
รังสี UV ตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีเมลานินและทำให้เกิดฝ้า แนะนำให้ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปและมี PA+++ และควรทาซ้ำทุก 2 – 3 ชั่วโมงหากต้องอยู่กลางแจ้ง ควรใช้ร่วมกับการสวมหมวก ร่ หรืออุปกรณ์กันแดดอื่น ๆ เพื่อการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
3. บำรุงผิวหน้า
การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์เฉพาะสำหรับการรักษาฝ้าก็เป็นอีกวิธีที่ได้ผลดี ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารสำคัญ เช่น วิตามินซี อาร์บูติน กรดโคจิก หรือ AHA ซึ่งมีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น การบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอทั้งเช้าและเย็นจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นตามลำดับ แต่ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนหากไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
4. รักษาฝ้าด้วยสมุนไพร
มีสมุนไพรหลายชนิดที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดเลือนฝ้าและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เช่น
- หัวไชเท้าที่มีสารไกลโคไซด์ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน
- มะนาวที่มีกรด AHA ช่วยผลัดเซลล์ผิว
- ใบบัวบกที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
อย่างไรก็ตาม การใช้สมุนไพรเหล่านี้ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและระมัดระวัง โดยควรทดสอบอาการระคายเคืองและอาการแพ้ก่อนใช้ทุกครั้งอีกด้วย
5. ฉีดเมโส
การฉีดเมโสเป็นวิธีที่จะนำสารบำรุง และวิตามินเข้าสู่ผิวหน้าโดยตรง ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่าการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั่วไป วิธีนี้สามารถช่วยลดความเข้มของฝ้าได้ 20 – 50% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล เบื้องต้นจะเห็นผลภายใน 3 – 7 วันหลังทำ และควรทำอย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้งในเดือนแรก จากนั้นทำทุก 2 สัปดาห์เพื่อรักษาผลลัพธ์ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผูัเชี่ยวชาญ เพื่อเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ
6. กรอผิวด้วยอัญมณี
การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณีหรือ Microdermabrasion เป็นการใช้ผลึกขนาดเล็กมาช่วยขัดผิวอย่างอ่อนโยนเพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้าไม่รุนแรงและต้องการฟื้นฟูสภาพผิวไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังในการปรับระดับความแรงให้เหมาะสม เพราะหากใช้แรงมากเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
7. ไอออนโต รักษาฝ้า
ไอออนโตเป็นเทคโนโลยีที่ใช้กระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ช่วยนำพาสารบำรุงและวิตามินเข้าสู่ผิวได้ลึกยิ่งขึ้น วิธีนี้มีความปลอดภัยสูง ไม่เจ็บและมีผลข้างเคียงน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย แต่อาจต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดฝ้า
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ทาครีมกันแดดที่มี SPF 50+ และ PA++++ ทุกวัน แม้จะอยู่ในร่มหรือกลางแจ้ง และควรทาซ้ำทุก 2 – 3 ชั่วโมง เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดที่ดีที่สุด
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว
- พักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมความเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว ก็จะช่วยให้ทั้งผิวแข็งแรงและร่างกายแข็งแรง
- ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี ล้างหน้าให้ถูกวิธี ไม่ควรขัดถูหน้ารุนแรง เพื่อป้องกันการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้
- รับประทานอาหารเสริม จำพวกวิตามินบี 6, วิตามินบี 12, วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซีและกรดโฟลิก ซึ่งมีส่วนช่วยยับยั้งการอักเสบและฟื้นฟูผิวได้อีกด้วย
สรุปบทความ
การรักษาฝ้าให้หายขาดได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจก่อนว่ามีสาเหตุมาจากอะไร และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีทันสมัยอย่างเลเซอร์ การฉีดเมโสหรือการใช้สมุนไพรธรรมชาติในการรักษา ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือต้องทำอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการป้องกันที่ดี โดยเฉพาะการปกป้องผิวจากแสงแดดและการดูแลสุขภาพองค์รวม ก็จะช่วยให้ผิวแข็งแรง ไม่เกิดฝ้าได้ง่าย ๆ
ที่ Dr. Bank Clinic เรามีโปรแกรม Discovery Pico Laser นวัตกรรมเลเซอร์ที่จะช่วยรักษาปัญหาผิว หลุมสิว ฝ้าและกระ ดำเนินการโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลรักษาฝ้าอย่างมีประสิทธิภาพ สนใจเข้ารับคำปรึกษาหรือนัดพบแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ @dr.bankclinic